วันธรรมดาน่าเที่ยว ชวนนักเดินทางสายบุญ และสายมู ออกเดินทางไปทำบุญ ไหว้พระ และขอพรเสริมสร้างสิริมงคลให้กับตัวเองและครอบครัวกีนสักหน่อย
และวัดต่างๆ ที่แนะนำในครั้งนี้ นอกจากจะได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วแบบเฮงๆ รวยๆ ปังๆ แล้ว ยังได้ไปถ่ายรูปเช็คอินสวยๆ ไว้อวดเพื่อนๆ ในโลกโซเชียลอีกด้วยนะ
1.วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร
พระปฐมเจดีย์ หรือเดิมเรียกว่าพระธมเจดีย์เป็นพระสถูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยซึ่งจะตั้งอยู่ในบริเวณวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหารจังหวัดนครปฐมอีกทั้งยังเป็นนพระอามหลวงชั้นเอกพิเศษชนิดราชวรมหาวิหาร
ภายในเจดีย์จะเป็นที่ประดิษฐ์ฐานของพระบรมสารีริกธาตุ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปฐมเจดีย์นั้นได้ถูกสร้างและปฏิสังขรณ์มาอย่างน้อย 3 ครั้งแล้ว และไม่มีใครทราบว่าพระปฐมเจดีย์ถูกสร้างในยุคสมัยใด แต่มีขอสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระอโศกมหาราช ทรงส่งสมณทูต เผยแพร่ศาสนา นักโบราณคดีต่างเห็นพ้องกันว่า พระโสณเถระและพระอุตตรเถระ เป็นสมณทูต และมาตั้งหลักฐานประกาศหลักธรรมคำสอนที่นครปฐมเป็นครั้งแรก ในพุทธศตวรรษที่ 3 และได้สร้างพระเจดีย์ทรงบาตรคว่ำแบบเจดีย์สาญจิในประเทศอินเดียไว้
จากนั้น ในสมัยรัตนโกสินทร์ จึงได้ทำการปฏิสังขรณ์เรื่อยมา จนกระทั่งพระมหาเจดีย์มีความสูงใหญ่ อลังการดังเช่นปัจจุบัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงพระปฐมเจดีย์นั่นก็คือ การนมัสการพระร่วงโรจนฤทธิ์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่บรรจุพระราชสรีรางคารในรัชกาลที่ 6 ไว้ที่ใต้ฐานด้วย
วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร
ที่ตั้ง : 27 ถ.เทศา ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม
พิกัด : https://goo.gl/maps/WjFUvfwmnxACQUP98
2.วัดไร่ขิง พระอารามหลวง
วัดไร่ขิง อีกหนึ่งวัดสำคัญของจังหวัดนครปฐม ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน แม้จะได้รับการตั้งชื่อใหม่เป็น ‘วัดมงคลจินดาราม‘ ทว่าชาวบ้านก็ยังคงเรียกด้วยความคุ้นเคยว่า “วัดไร่ขิง” ตามชื่อของชุมชนแถบนี้ ซึ่งในอดีตเป็นที่อยู่ของชาวจีนและนิยมปลูกขิงกันอย่างแพร่หลายนั่นเอง
พระพุทธรูปหลวงพ่อวัดไร่ขิง ซึ่งประดิษฐานในพระอุโบสถ ตามตำนานเล่าว่าลอยน้ำมาและอัญเชิญขึ้นไว้ที่วัดศาลาปูน องค์พระพุทธรูปเป็นเนื้อทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย พุทธลักษณะงดงามด้วยพุทธศิลป์ 3 สมัย คือ พระรูปผึ่งผายแบบเชียงแสน พระหัตถ์เรียวงามแบบสุโขทัย และพระพักตร์งดงามในแบบรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี 5 ชั้น สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสมัยไทยล้านนาและล้านช้าง
บริเวณริมแม่น้ำหน้าวัด เป็นวังมัจฉา มีปลาสวายตัวโตอยู่นับพัน นักท่องเที่ยวสามารถซื้อขนมปังเลี้ยงอาหารปลาได้ และถ้ามาวันศุกร์หรือตอนเช้าอาทิตย์ จะมีตลาดนัดอาหารและผลไม้ให้เดินเลือกซื้อกันอย่างสนุกสนานทีเดียว หรือจะนั่งเรือไปยังตลาดน้ำดอนหวาย ตลาดน้ำชื่อดังที่อยู่ใกล้ๆ ก้นก็ได้นะ
วัดไร่ขิง พระอารามหลวง
ที่ตั้ง : 51 หมู่ที่ 2 ต.ไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม
พิกัด : https://goo.gl/maps/spoQyuSVj5xd7XHw6
3.วัดสามพราน
วัดสามพรานตั้งอยู่ในอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร นั่นคือ “มังกรตะกายฟ้า” ซึ่งเป็นตึกสูงสีชมพู และมีมังกรตัวใหญ่ใช้ลำตัวโอบกอดตึกสูงแห่งนี้เอาไว้ ถือเป็นวัดที่สวยงามตระการตา ไม่ได้มีชื่อเสียงเฉพาะแค่ในประเทศไทย แต่ดังไกลไปทั่วโลกเลยทีเดียว
ตึกมังกรตะกายฟ้ามีความสูง 80 เมตรซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกันกับอายุของพระพุทธเจ้าตอนที่ปรินิพพาน ภายในตัวตึกมีทั้งหมด 16 ชั้นเปรียบได้กับสวรรค์ชั้นพรหม 16 ชั้นเช่นกัน ตัวตึกใช้เวลาในการสร้างนานถึง 5 ปี ถึงจะแล้วเสร็จ
ด้านนอกมีมังกรสีเขียวตัวโตพันรอบตึกจากด้านล่างจนไปถึงยอดตึก สามารถเดินขึ้นไปได้โดยเดินภายในตัวมังกร เหมือนเดินอยู่ในถ้ำ ด้านในมีพัดลมระบายอากาศ สามารถเดินไปถึงดาดฟ้าได้ แต่ทางเดินมังกรนี้เปิดเฉพาะวันพระ วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น
วัดสามพราน
ที่ตั้ง : 92/8 หมู่ที่ 7 ต.สามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม
พิกัด : https://goo.gl/maps/szGK4Vp4sQGDhBEz5
4.วัดไผ่โรงวัว
วัดไผ่โรงวัว เป็นวัดที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุพรรณบุรี มีจุดเด่นคือ พระกกุสันโธ พระพุทธรูปปูนปั้นองค์สีขาว ที่ครั้งหนึ่งเคยมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สูง 28 วา 2 ศอก หน้าตักกว้าง 20 วา ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล
นอกจากนี้ยังมี พระพุทธโคดม พระพุทธรูปโลหะสำริดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศ ภายในวัดมีสิ่งก่อสร้างต่างๆเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูปต่างๆ รูปหล่อพุทธประวัติ พระโพธิสัตว์ พระวิหารร้อยยอด เจดีย์ร้อยยอด สังเวชนียสถานจำลองทั้ง 4 เมืองสวรรค์เมืองนรกจำลอง ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาอย่างสม่ำเสมอ
อีกหนึ่งไฮไลท์ของวัดไผ่โรงวัว นั่นคือ นรกและสวรรค์จำลอง เมืองนรก หรือที่เรียกว่า “เมืองนรกภูมิ” เป็นการจำลองภาพประติมากรรมปูนปั้นเกี่ยวกับนรก สร้างขึ้นเพื่อย้ำเตือนให้มนุษย์ตระหนักถึงเรื่องบาปกรรม โดยมีสารสำคัญที่พยายามชี้ให้เห็นถึงผู้ที่คิดร้ายต่อบิดามารดาของตัวเองต้องมาอยู่ในนรกภูมิเกิดเป็นเปรตและอสูรกาย เวียนว่ายตายเกิดอย่างทุกข์ทรมาร ตามหลักความเชื่อทางพระพุทธศาสนา
วัดไผ่โรงวัว
ที่ตั้ง : ต.บางตาเถร อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
พิกัด : https://goo.gl/maps/gikcrzXRJkuDBY739
5.วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร
กล่าวกันเสมอมาว่า ถ้ามาเมืองสุพรรณ แล้วไม่ได้แวะมากราบไหว้หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ ก็เหมือนมาไม่ถึงเมืองสุพรรณ วัดป่าเลไลยก์เป็นวัดสำคัญ คู่บ้านคู่เมืองสุพรรณบุรีมากันอย่างช้านาน
ในช่วงวันหยุดจะมีผู้คนมากมายมากราบไหว้ขอพร และยิ่งเป็นวันหยุดยาว จะเป็นที่ที่คนนิยมมากเป็นอันดับต้นๆของจังหวัดสุพรรณ ถ้าหากมีโอกาสมาเมืองสุพรรณ สถานที่แรกที่ไม่ควรผ่านเลย แวะชมความงดงามขอหลวงพ่อโต และกราบไหว้เพื่อเป็นศิริมงคล
วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร
ที่ตั้ง : ถ.มาลัยแมน ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
พิกัด : https://goo.gl/maps/Bq3XHRPpQSnXM2Ny6
6.วัดไชยวัฒนาราม
วัดไชยวัฒนาราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกนอกเกาะเมือง เป็นวัดที่พระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาองค์ที่ 24 ( พ.ศ. 2173-2198) โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2173 ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีความงดงามมากแห่งหนึ่งในกรุงศรีอยุธยา ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะหลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังคงความงดงามอยู่
ภายในวัดมี “พระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ” เป็นปรางค์ประธานของวัด ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสและที่มุมฐานมีปรางค์ทิศประจำอยู่ทั้งสี่มุม ยอดขององค์ปรางค์ ทำเป็นรัดประคดซ้อนกัน 7 ชั้น ลักษณะเหมือนพระปรางค์ในสมัย อยุธยาตอนต้น เพราะว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้เขมรเข้ามาเป็นประเทศราชในยุคของพระองค์ จึงได้รื้อฟื้นศิลปะแบบเขมรขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
วัดไชยวัฒนาราม
ที่ตั้ง : ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
พิกัด : https://goo.gl/maps/grknPtSMrKj8mkTK6
7.วัดพระเมรุราชิการามวรวิหาร (วัดหน้าพระเมรุ)
วัดพระเมรุราชิการาม หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วัดหน้าพระเมรุ” ตั้งอยู่ริมคลองสระบัวด้านทิศเหนือของคูเมือง ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายครั้ง อย่างเช่น เป็นวัดที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ได้ใช้สถานที่แห่งนี้ ปลูกพลับพลาที่ประทับเพื่อเจรจาสงบศึกกับกษัตริย์บุเรงนองของพม่า เมื่อครั้งสงครามช้างเผือกในปี พ.ศ.2106 รวมถึงเป็นวัดที่กองทัพพม่าใช้ตั้งฐานบัญชาการในสมัยสงครามคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 จึงเป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าเผาทำลาย จึงทำให้วัดหน้าพระเมรุ เป็นวัดเดียวในอยุธยา ที่ยังคงปรากฏสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาในสภาพสมบูรณ์ที่สุด
พระประธานภายในโบสถ์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่องแบบกษัตริย์ มีว่า “พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ” ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาของคนอยุธยามาอย่างยาวนาน
วัดพระเมรุราชิการามวรวิหาร (วัดหน้าพระเมรุ)
ที่ตั้ง : ต.คลองสระบัว อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
พิกัด : https://goo.gl/maps/z8yCAYeHTAyseYwe8
8.วัดพนัญเชิงวรวิหาร
วัดพนัญเชิง เป็นวัดเก่าแก่และสำคัญวัดหนึ่งของอยุธยา มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะหลวงพ่อโตหรือเจ้าพ่อซำปอกง ที่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนต่างให้ความเคารพนับถือมาช้านาน เมื่อมายังวัดแห่งนี้จะไม่แปลกที่จะต้องพบเจอผู้คนจำนวนมากที่ไหลเวียนมานมัสการหลวงพ่อโตกันอย่างเนืองแน่น
ตามพงศาวดารเหนือระบุว่า ผู้สร้างวัดพนัญเชิงคือพระเจ้าสายน้ำผึ้ง โดยในยุคแรกนั้นชื่อของวัดแห่งนี้คือ “วัดพระนางเชิง” ซึ่งมีที่มาจากตำนานซึ่งเล่าว่าพระนางสร้อยดอกหมาก พระราชธิดาบุญธรรมในพระเจ้ากรุงจีน ซึ่งเดินทางมาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ได้เสียชีวิตลง และมีการจัดพระราชพิธีศพขึ้นที่บริเวณที่ตั้งของวัดพนัญเชิง ซึ่งปัจจุบัน ภายในวัดยังมีตำหนักเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก
วัดพนัญเชิงเคยได้รับความเสียหายในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอด จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ได้มีการบูรณะพระพุทธรูปประจำวัดพนัญเชิงขึ้นใหม่หมดทั้งองค์ รวมถึงอาคารอื่นๆโดยรอบ ทำให้วัดพนัญเชิงอยู่ในสภาพดีมาจนถึงในปัจจุบัน
วัดพนัญเชิง มีพระพุทธรูปไตรรัตนายก (หลวงพ่อโต หรือซำปอกง) เป็นพระประธาน ตามพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์กล่าวไว้ว่า ได้มีการสถาปนาพระพุทธรูปพุทธเจ้าพแนงเชิง หรือหลวงพ่อโต ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1867 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ศิลปะสมัยอู่ทองตอนปลาย ปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตักกว้าง 14.20 เมตร สูง 19.20 เมตร นับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
วัดพนัญเชิงวรวิหาร
ที่ตั้ง : หมู่ 12 ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
พิกัด : https://goo.gl/maps/sCkT2MuLBjnqh1U6A
วัดม่วง
ไฮไลท์ของที่นี่นั่นคือการมาสักการะ “พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ” พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีความสูงถึง 95 เมตร ขนาดหน้าตักกว้าง 63.5 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 16 ปี โดยถ้าเทียบเป็นตึก นั่นคือมีความสูงมากถึง 32 ชั้นเลยทีเดียว
เชื่อว่า ถ้ามีโอกาสได้มาสัมผัสที่ปลายพระหัตถ์พระใหญ่ (พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ) จะมีความเชื่อกันว่า ขอให้ท่านประทานพรให้เติบโต เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน
วัดม่วง
ที่ตั้ง : ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
พิกัด : https://goo.gl/maps/gz5ZjYRnZV7Dj1nx6
10.วัดขุนอินทประมูล
วัดขุนอินทประมูล ประดิษฐานพระนอนองค์ใหญ่แห่งทุ่งโพธิ์ทอง วัดนี้เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัย กรุงสุโขทัย พิจารณาจากซากอิฐแนวเขตเดิมคะเนว่าเป็นวัดขนาดใหญ่ มีความยาวถึง ๕๐ เมตร ซึ่งนับเป็นพระนอน หรือพระพุทธไสยาสน์ที่ยาวเป็นอันดับที่สอง รองจากพระนอนที่ยาวที่สุดในประเทศไทย คือ พระนอนที่วัดบางพลีใหญ่กลาง จ. สมุทรปราการ
เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารแต่ถูกไฟไหม้ปรักหักพังไปเหลือแต่องค์พระตากแดดตากฝนอยู่กลางแจ้งมานานนับเป็นร้อยๆ ปี องค์พระพุทธรูปมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกับพระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเดียวกัน องค์พระนอน มีพุทธลักษณะที่งดงาม พระพักตร์ยิ้มละไม สงบเยือกเย็น น่าเลื่อมใส
วัดขุนอินทประมูล
ที่ตั้ง : ต.อินทประมูล อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
พิกัด : https://goo.gl/maps/Ldbih9XUqjNnPa1x8
11.วัดพระนอนจักรสีห์
ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย เมื่อคำนวนทางปริมาตรซึ่งองค์พระนั้นมีความยาวถึง 47 เมตร 42 เซนติเมตร และมีพุทธลักษณะตามแบบศิลปะสุโขทัย อ่อนช้อยงดงาม โดยพระพักตร์หันไปทางทิศเหนือ ซึ่งสันนิษฐานว่าท้าวอู่ทองเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้น
ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ยังเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสิงห์บุรี ที่ผู้มาเยือนทุกคนต้องแวะ ไปกราบสักการะทุกคราวที่เดินทางมาจังหวัดสิงห์บุรี อีกทั้งยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีความเชื่อว่าหากมาขอพรให้ท่านช่วย เมื่อสำเร็จก็พากันมาแก้บน โดยของที่นิยมมาแก้บน อาทิ ไข่ต้ม หัวหมู บายศรี เป็นต้น
วัดพระนอนจักรสีห์
ที่ตั้ง : 60 ถ.บ้านพระนอน ต.จักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี
พิกัด : https://goo.gl/maps/Lg6tLqc6f8i3UbA99
12.วัดพิกุลทอง
เหตุที่วัดพิกุลทอง (เดิมชื่อวัดใหม่พิกุลทอง) เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวบ้านตำบลพิกุลทองนั้น น่าจะเป็นเพราะความเสื่อมใสในหลวงพ่อแพ (พระเทพสิงหบุราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี) อดีตเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ซึ่งเป็นพระนักพัฒนารูปหนึ่งที่ทำประโยชน์ต่อพุทธศาสนามากมาย ทั้งยังมีส่วนทำให้วัดพิกุลทองแห่งนี้สวยงามอยู่ตลอดเวลา จนชาวบ้านพากันเรียกวัดนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “วัดหลวงพ่อแพ”
และนี่เองคือที่มาของพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อแพ ที่ตั้งอยู่ภายในวัดซึ่งจัดแสดงเรื่องราวประวัติของหลวงพ่อแพและเครื่องอัฐบริขารของท่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ไม่ควรพลาดชมพระพุทธสุวรรณมงคลมหามุนี หรือ หลวงพ่อใหญ่ พระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีขนาดหน้าตักกว้าง 11 วา 2 ศอก สูง 21 วา 1 คืบ 3 นิ้ว ภายในเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กประดับด้วยโมเสกทองคำธรรมชาติชนิด 24 อีกทั้งรอบพระวิหารใหญ่ยังมีวิหารคตซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันต่างๆ และพระสังกัจจายน์องค์ใหญ่และด้วยบรรยากาศภายในวัดมีความร่มรื่น สะอาดสะอ้าน จึงทำให้มีผู้เดินทางมาชมวัดนี้กันอยู่เสมอโดยเฉพาะ ในช่วงสุดสัปดาห์หรือวันหยุดพิเศษ
วัดพิกุลทอง
ที่ตั้ง : 93 หมู่ 3 ต.พิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี
พิกัด : https://goo.gl/maps/1EwpVcg4wMGRiFLN8
13.วัดโสธรวรารามวรวิหาร
วัดสวยอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง เดิมมีชื่อว่า“วัดหงส์” สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อโสธร” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดฉะเชิงเทรา มีการเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ในสมัยล้านช้าง–ล้านนา เกิดยุคเข็ญขึ้น พม่าได้ยกทัพมาตีไทยหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายได้เผาบ้านเผาเมือง ตลอดจนวัดวาอารามต่างๆ หลวงพ่อ 3 พี่น้องจึงได้แสดงอภินิหารลงแม่น้ำปิงแล้วล่องมาทางใต้ พระพุทธรูปองค์พี่ใหญ่แสดงอภินิหารลอยไปถึงแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ชาวประมงอาราธนาท่านขึ้นประดิษฐานไว้ ณ วัดบ้านแหลม มีชื่อเรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม” อีกองค์แสดงอภินิหารล่องเข้าไปในคลองบางพลี ชาวบ้านได้อาราธนาขึ้นมาประดิษฐานที่วัดบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มีชื่อเรียกว่า “หลวงพ่อโตบางพลี”
ส่วนพระพุทธรูปองค์สุดท้าย หรือหลวงพ่อพระพุทธโสธร ได้แสดงอภินิหารลอยมาขึ้นที่หน้าวัดหงส์ ชาวบ้านพยายามฉุดขึ้นฝั่งหลายครั้งหลายหน แต่ไม่สามารถอัญเชิญหลวงพ่อขึ้นจากน้ำได้ จนกระทั่งมีอาจารย์ ผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ผู้หนึ่ง ได้ตั้งศาลเพียงตาบวงสรวง เอาสายสิญจน์คล้องกับพระหัตถ์พระพุทธรูป และเชิญชวนประชาชนทั้งชาวไทยชาวจีนพร้อมใจกันจับสายสิญจน์ จึงสามารถอาราธนาขึ้นฝั่งได้โดยง่าย เป็นเรื่องราวที่สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันวัดโสธรฯ ได้สร้างวิหารหลังใหม่ขึ้นมาใหญ่โตอลังการมากๆ เป็นแลนด์มาร์คของเมืองแปดริ้ว ที่ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศ อยากจะไปเยือนให้ได้สักครั้งหนึ่ง
วัดโสธรวรารามวรวิหาร
ที่ตั้ง : 134 ถ.เทพคุณากร ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
พิกัด : https://goo.gl/maps/pjBEqbEfN2jn3cpV7
14.วัดสมานรัตนาราม
วัดสมานรัตนาราม วัดสวยที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นวัดที่มี พระพิฆเนศปางเสวยสุข ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย องค์พระพิฆเนศปางเสวยสุข สูง 16 เมตร ยาว 22 เมตร เนื้อสีชมพู ลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอนตะแคง โดยพระหัตถ์ซ้าย ถืองาที่หัก พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว โดยรอบฐานมีพระพิฆเนศ 32 ปางให้ประชาชนที่มีจิตศรัทธาได้มากราบไหว้ขอพร
ความหมายของพระพิฆเนศปางเสวยสุขคือความสุขสบายความสุขบริบูรณ์มั่งคั่งเพียบพร้อมในทุกๆด้านรื่นรมย์ไร้ทุกข์ไร้ความเศร้าหมองอิ่มหนำสำราญมีกินมีโชคมีลาภซึ่งจะนำความความสุขสบายมาสู่ผู้สักการะบูชา
วัดสมานรัตนาราม
ที่ตั้ง : ต.ก้อนแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
พิกัด : https://goo.gl/maps/9WBFXnkvZakmFhQz8
15.วัดปากน้ำโจ้โล้
วัดสวยริมแม่น้ำบางปะกง ตั้งอยู่ในเขต อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทราเป็นวัดที่มีความสวยงามอลังการมากๆโดยพระอุโบสถของวัดนี้ถือเป็นพระอุโบสถหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ทาสีทองทั้งหลังทั้งภายในและภายนอกอุโบสถสีทองอร่ามงดงามมากๆ
ในอดีตบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของกองทหารพม่า ที่ยกทัพติดตาม กองทัพของพระยาตาก ที่ตีฝ่าวงล้อมออกมาเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 และกองทัพของพระยาตากได้รบชนะกองทัพพม่าที่บริเวณนี้ จึงได้สร้างสถูปเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ รวมถึงภายในวัด ยังมีพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ไว้ให้ประชาชนที่มีจิตศรัทธา ได้มากราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
วัดปากน้ำโจ้โล้
ที่ตั้ง : ถ.วนะภูติ ต.ปากน้ำ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
พิกัด : https://goo.gl/maps/dkFs4Y3SA17cDnGg9
16.วัดปัญญานันทาราม
วัดปัญญานันทาราม เป็นวัดที่มีชื่อเสียงอีกวัดหนึ่ง ของจังหวัดปทุมธานี เป็นวัดที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุอดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์เป็นผู้ก่อตั้งโดยมุ่งหวังให้เป็นมรดกธรรมและเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของผู้ทีมีจิตศรัทธาในพุทธศาสนา
สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นภายในวัด นั่นคือ เจดีย์พุทธคยาจำลอง ที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ด้านหน้าวัด ถอดแบบมาจากพุทธคยาของจริง ที่ตั้งอยู่ที่เมืองคยา ประเทศอินเดีย และอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ นั่นคือ ภาพปริศนาธรรมแบบ 3 มิติ หนึ่งเดียวในโลก ที่จัดแสดงอยู่ด้านล่างของเจดีย์พุทธคยา ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูป และเข้าไปไขปริศนาธรรม โดยแต่ละภาพจะมีความหมายแฝงไปด้วยคติธรรมสอนใจ เกี่ยวกับเรื่องของอริยสัจ 4 เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ฟรี
วัดปัญญานันทาราม
ที่ตั้ง : เลขที่ 1 หมู่ 10 ซ.วัดปัญญา ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/AJMWvFBumjCXguWHA
17.วัดถ้ำเสือ
วัดถ้ำเสือ เป็นวัดเก่าแก่มาแต่ครั้งโบราณกาล ตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเล็กๆ ที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล จากบริเวณวัด นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำแม่กลอง เขื่อนวชิราลงกรณ์ และทุ่งนาโดยรอบได้แบบ 360 องศา สำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่สะดวกเดินเท้าขึ้นเขา ทางวัดมีบริการเคเบิลคาร์ ขึ้น–ลงเขา คนละ 10 บาทเท่านั้น
สิ่งที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญ ของวัดถ้ำเสือ นั่นคือ หลวงพ่อชินน์ประทานพร พระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรี ตัวองค์พระงดงามตามพุทธลักษณะ ประดับประดาด้วยโมเสคสีทองอร่ามไปทั้งองค์
วัดถ้ำเสือ
ที่ตั้ง : ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
พิกัด : https://goo.gl/maps/hu3ym7sb3BijkRyY8
18.วัดนอกปากทะเล
วัดนอกปากทะเล วัดเล็กๆ ตั้งอยู่ริมถนนแหลมผักเบี้ย–ชะอำ ต.ปากทะเล อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี โดดเด่นด้วย “วิหารเรือเภตรานิพพานัง” ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางวัด รวมถึงมี โบสถ์โบราณ อายุเก่าแก่กว่า 100 ปีเป็นโบสถ์มหาอุตม์สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง
ไฮไลท์ที่สำคัญของวัดนอกปากทะเล นั่นคือ “วิหารเรือเภตรานิพพานัง” วิหารรูปทรงเรือสำเภาขนาดใหญ่ วิจิตรตระการตา วิหารเรือซึ่งมีต้นแบบมาจากสำเภาทองที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่งดงาม มีความกว้าง 8 เมตร ยาว 32 เมตร สูง 38 เมตรสื่อถึงความหมายประดุจว่าเป็นพาหนะในการนำพาพุทธศาสนิกชนข้ามวัฏสงสารไปสู่นิพพานด้วยการปฏิบัติธรรม
ตัววิหารเป็นที่รวบรวมศิลปะหลายแขนง ทั้งงานปูนปั้นที่เป็นเลิศของเพชรบุรี โดยใช้ลายตามังกรแบบจีนเข้ามาผสมผสาน บานหน้าต่างเป็นงานแกะสลักไม้ตะเคียน รอบวิหารรายล้อมด้วยประติมากรรมปูนปั้นจากวรรณกรรมเรื่องสังข์ทอง ทั้งยังนำพวงมาลัยเรือ ใบพัด และเสากระโดง มาตกแต่ง ให้คล้ายกับเรือสำเภาจริงๆ โดยสามารถขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของเรือ ซึ่งจะเป็นหอระฆัง สามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์ด้านบนโดยรอบบริเวณวัดได้ด้วยชมทิวทัศน์โดยรอบได้ด้วยนะ
วัดนอกปากทะเล
ที่ตั้ง : ต.บางขุนไทร อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี
พิกัด : https://goo.gl/maps/JNufSAT6HYaDdPvJ7
19.วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาในสมัยของพระเจ้าทรงธรรม
ตามพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า มีพระภิกษุไทยคณะหนึ่ง เดินทางไปยังลังกาทวีป เพื่อนมัสการรอยพระพุทธบาท พระสงฆ์ลังกากล่าวว่า ประเทศไทยก็มีรอยพระพุทธบาทอยู่แล้วที่เขาสุวรรณบรรพต จึงได้นำความกราบทูลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมให้ทรงทราบ และได้สืบหาจนพบรอยพระพุทธบาท ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองสระบุรีนั่นเอง จากนั้นจึงได้สร้างมณฑปครอบไว้ และทำการสมโภชน์พระพุทธบาทอย่างยิ่งใหญ่ และถือเป็นธรรมเนียม ที่พระมหากษัตริย์ไทยแทบทุกพระองค์ จะทรงทำนุบำรุงและเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทตลอดมา เรื่อยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
ที่ตั้ง : ต.ขุนโขลน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี
พิกัด : https://goo.gl/maps/sEbM41dVznv9xQJGA
20.วัดปากน้ำแขมหนู
พระอุโบสถเซรามิก หรือโบสถ์สีน้ำเงิน โบสถ์ทนน้ำเค็มกันสนิมแห่งเดียวในโลก ตั้งอยู่ที่บริเวณปากน้ำแขมหนู ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างหาดเจ้าหลาว และ อ่าวคุ้งกระเบน
สาเหตุที่เลือกใช้เซรามิกมาเคลือบชั้นปูนพระอุโบสถเพราะเซรามิกนั้นมีความมันเงาคงทนแข็งแรงเพื่อป้องกันฤทธิ์กัดกร่อนของน้ำเค็มนอกจากนี้ยังได้ประสานโรงงานรับเหมาให้ผสมสีลงในชิ้นงานที่จะนำมาปิดเคลือบผนังปูนตลอดจนชิ้นส่วนลวดลายต่างๆที่จะนำมาประดับตกแต่งโบสถ์ทั้งหลังเพื่อลดเวลาการก่อสร้างและจะไม่ต้องทาสีซ้ำบ่อยๆ
ส่วนสาเหตุที่เลือกประดับลวดลายลงพื้นโบสถ์ด้วยสีน้ำเงิน เนื่องจากเห็นว่า ภาชนะลายครามในสมัยโบราณ จะมีการใช้สีหลักเพียงสองสีเท่านั้น คือ พื้นสีขาว ตัดลวดลายด้วยสีน้ำเงิน และเมื่อลองมาปรับใช้กับโบสถ์ก็พบว่ามีความสวยงามโดดเด่น จึงได้มีการนำมาใช้ประดับตกแต่งพระอุโบสถเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันจนกลายมาเป็นโบสถ์สีน้ำเงินอย่างที่เห็น
ภายในพระอุโบสถ มีความสวยสดงดงาม ไม่แพ้เซรามิกสีน้ำเงินนอกโบสถ์ โดยด้านในเฉพาะประตูโบสถ์ไม้ ทั้ง 4 บาน มีการแกะสลักภาพนูนต่ำ เกี่ยวกับพุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลงสีสดโดดเด่นเก็บทุกรายละเอียด ด้านนอกบานประตูและหน้าต่าง มีการลงลายมุข ภาพเทพทวารบาล ส่วนพื้นผนังด้านในพระอุโบสถ มีการประดับภาพลงสีในพื้นเซรามิกเกี่ยวกับวรรณคดีชาดก และพระมหาชนก
วัดปากน้ำแขมหนู
ที่ตั้ง : ต.ตะกาดเง้า อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี