ภาคอีสาน นอกจากขึ้นชื่่อด้วยเรื่องราววัฒนธรรมงดงาม มี วัดวาอารามเก่าแก่ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมายให้เราเดินทางไปเรียนรู้และกราบไหว้แล้ว ภาคอีสานยังเป็นดินแดนหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสวยๆ ให้เราไปชมอีกเพียบ
ไม่ว่าจะเป็น วิวแม่น้ำโขงสุดอลังการ ที่พาดผ่านตั้งแต่เชียงคาน ยาวไปจนถึงโขงเจียม เกิดเป็นเกาะแก่งมหัศจรรย์กลางแม่น้ำโขง นาม “สามพันโบก” หรือจะเป็น “ภูกระดึง” จุดเริ่มต้นของนักเดินป่าบิกินเนอร์ หรือจะไปสัมผัสวิถีสโลว์ไลฟ์ ที่เชียงคาน ก็ถือเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย
มากกว่านั้นคือมีอาหารการกินอร่อยแซ่บนัว ที่หากใครได้ลิ้มลองเป็นเป็นต้องติดใจ
วันธรรมดาน่าเที่ยว เลยจะพาเพื่อนๆ เปลี่ยนบรรยากาศไปเช็คอินที่เที่ยวสวยๆ ในภาคอีสาน ที่ครั้งคุณจะต้องไม่พลาดไปกันสักครั้ง
อยากรูู้ว่ามีที่ไหนเด็ดๆ บ้าง มาแชร์เก็บไว้ในลิสต์ของคุณได้เลย
1.วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
พระธาตุพนม พระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ และพระธาตุประจำปีเกิดผู้ที่เกิดปีวอก ศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวอีสาน และเป็นพระบรมธาตุที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาของนครพนมและภาคอีสานมาแต่ครั้งโบราณกาล เชื่อกันว่าภายในประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ว่ากันว่าถ้าใครได้มานมัสการพระธาตุครบ 7 ครั้ง จะถือว่าเป็น “ลูกพระธาตุ” เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและจะมีความเจริญรุ่งเรือง หรือแม้แต่การได้มากราบพระธาตุพนม 1 ครั้ง ก็ถือ เป็นมงคลแก่ชีวิตแล้ว
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
ที่ตั้ง : ถ.ชยางกูร ต.ธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม
พิกัด : https://goo.gl/maps/uNph8exTHRVqdxAv9
2.วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง
หลวงพ่อพระใส แห่งวัดโพธิ์ชัย เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยล้านช้าง ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระธิดา 3 องค์ แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง พระธิดาทั้ง 3 ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนาม พระพุทธรูปตามนามของตนเองไว้ด้วยว่า พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ
เดิมทีนั้นหลวงพ่อพระใสได้ประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์ พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยกรุงธนบุรีได้อัญเชิญไปไว้ที่เมืองเวียงคำ และถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดโพนชัย เมืองเวียงจันทน์อีก ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฎ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส กลับมาด้วย แพที่อัญเชิญพระสุกเกิดหัก พระสุกจมน้ำมาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนพระเสริม และพระใส ได้ถูกอัญเชิญเข้ามาไว้ในฝั่งไทย ปัจจุบัน “พระเสริม” ได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดปทุมวนาราม ที่กทม. ส่วน “พระใส” ก็ประดิษฐานอยู่ที่หนองคายเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวหนองคายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง
ที่ตั้ง : ถ.หนองคาย–โพนพิสัย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย
พิกัด : https://goo.gl/maps/17YahuFZgjcCQawN7
3.วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร
พระธาตุเชิงชุม ปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสกลนคร องค์พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อครอบรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ ภายในวิหารยังเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อพระองค์แสน พระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะเชียงแสนที่งดงามตามพุทธลักษณะ
แต่แรกเริ่ม พระธาตุเชิงชุม เป็นปราสาทหินทรายศิลปะสมัยขอม ภายในกรอบประตูทางเข้าอุโมงค์ด้านขวามือ มีจารึกพระธาตุเชิงชุมอักษรขอมโบราณ ราวพุทธศตวรรษที่ 16 แต่องค์พระธาตุในปัจจุบัน นั้นเป็นศิลปะล้านช้าง เนื่องจากช่วงที่อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้างแผ่เข้ามาบริเวณภาคอีสานของไทย ราวพุทธศตวรรษที่ 19 ได้มีการบูรณะองค์พระธาตุขึ้นมาใหม่ และได้รับการบูรณะเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ชาวสกลนครเชื่อว่าการมาสักการะพระธาตุเชิงชุม จะช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง มีโชค มีลาภ เงินทองไหลมาเทมา
วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร
ที่ตั้ง : ถ.เรืองสวัสดิ์ อ.เมือง จ.สกลนคร
พิกัด : https://goo.gl/maps/JX9uVQZpABpBjCdP7
4.อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
ปราสาทพนมรุ้ง ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้งซึ่งเป็นภูเขาไปที่ดับสนิทแล้วเป็นโบราณสถานเนื่องในอิทธิพลอารยธรรมเขมรโบราณที่มีความงดงามและมีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ศาสนสถานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ หนึ่งในสามเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู (ตรีมูรติ) ลัทธิไศวะนิกาย เขาพนมรุ้งและปราสาทบนยอดเขาจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาสอันเป็นที่ประทับของพระศิวะ และยังเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาล กลุ่มอาคารบนยอดเขามีการก่อสร้างหลายยุคสมัยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 – 18
“พนมรุ้ง” มาจากภาษาเขมรว่า “วนํรุง” แปลว่า ภูเขาอันกว้างใหญ่ โดยคำนี่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกอักษรขอมพบที่ปราสาทพนมรุ้ง และยังปรากฏชื่อผู้สร้างปราสาทคือ “นเรนทราทิตย” เชื้อสายราชวงศ์มหิธรปุระ เป็นพระญาติของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แห่งเมืองพระนคร ผู้สร้างปราสาทนครวัดนั่นเอง
และในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เมษายนของทุกปี นักท่องเที่ยวทุกคน จะได้พบกับความมหัศจรรย์ของปราสาทหินพนมรุ้ง ชมปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แสงตะวันส่องทะลุประตู 15 ช่อง ของปราสาทหินพนมรุ้ง บอกเลยว่า Unseen มากๆ เลยครับ
อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
ที่ตั้ง : บ้านดอนหนองแหน ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์
พิกัด : https://g.page/Panomrung?share
5.สนามฟุตบอลช้าง อารีน่า
ไม่เพียงเป็นหนึ่งในทีมที่สร้างความคึกคักให้กับวงการฟุตบอลไทยในแง่ของฝีเท้า แต่ยังปลุกกระแสท่องเที่ยวให้กับจังหวัดบุรีรัมย์ในปัจจุบันด้วย
หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ธันเดอร์ คาสเซิล สเตเดียม สนามฟุตบอลที่สร้างจากการแนวคิดสถาปัตยกรรมกว่าพันปีของปราสาทหินพนมรุ้ง จนปัจจุบันกลายเป็น ปราสาทสายฟ้า สนามเหย้าของทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ทีมที่ได้ชื่อว่ามีสนามที่สวยงามและทันสมัยที่สุดในเมืองไทย โดยสามารถจุผู้ชมได้มากถึง 32,600 คน และที่สำคัญ ถือเป็นสนามฟุตบอลมาตรฐาน FIFA ที่ถูกบันทึกไว้ว่า ใช้เวลาก่อสร้างน้อยที่สุดในโลก เพียง 256 วันเท่านั้น
ด้านหลังสนามฟุตบอลช้าง อารีน่า ยังเป็นที่ตั้งของสนามแข่งรถมาตรฐานระดับโลก ที่ใช้จัดงานแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก MOTO GP มาแล้วถึงสองครั้ง
สนามฟุตบอลช้าง อารีน่า
ที่ตั้ง : ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
พิกัด : https://goo.gl/maps/g8xmERzAFz1JqWep8
6.หินสามวาฬ
นี่คือไฮไลท์ที่ต้องห้ามพลาดของจังหวัดบึงกาฬ ก็คงจะเหมาะสมที่สุดด้วยประการทั้งปวง หินสามวาฬวันนี้มีชื่อเสียงขึ้นมาก เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในวงกว้าง จากภาพความสวยงามที่ออกไปสู่สายตาประชาชน
กลุ่มก้อนหินขนาดใหญ่ ซุ่งถ้าดูจากภาพถ่ายทางอากาศ จะพบว่ามีลักษณะเหมือนวาฬตัวใหญ่ ยื่นออกมาจากภูเขา เป็นกลุ่มวาฬสามตัว พ่อ แม่ ลูก เรียงตามลำดับขนาดของก้อนหิน โดยนักท่องเที่ยวสามารถไปยืนเล่นถ่ายภาพบนหินวาฬแต่ละตัวัได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะหินจะค่อนข้างลื่น หากตกลงไปนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตแน่ๆ
หินสามวาฬ
ที่ตั้ง : บ้านนนไทรทอง ต.โคกก่อง อ.เมือง จ.บึงกาฬ
พิกัด : https://goo.gl/maps/pxMRp9Zb8fKLeQ6b9
7.วัดสิรินธรรัตนาราม (ภูพร้าว)
วัดสิรินธรวราราม (ภูพร้าว) หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดเรืองแสง เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง โดยจำลองสภาพแวดล้อมของวัดป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาศ บริเวณบนยอดเขาจะมองเห็นพระอุโบสถสีทอง ตั้งเด่นเป็นสง่า
ไฮไลท์ของที่นี่นั่นคือ การได้มาชมภาพเรืองแสงเป็นสีเขียวของของต้นกัลปพฤกษ์ที่เป็นจิตรกรรมที่อยู่บนผนังด้านหลังของอุโบสถในยามค่ำคืน ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการมาชมและถ่ายภาพคือ ตั้งแต่เวลา 6.00.19.30 น. ซึ่งหากโชคดีก็จะได้เห็นดวงดาวมากมายเต็มท้องฟ้าอีกด้วย
วัดสิรินธรรัตนาราม (ภูพร้าว)
ที่ตั้ง : ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/AhL1acHTcSyv7BAQ6
8.สามพันโบก
สถานที่ท่องเที่ยวที่รังสรรค์โดยธรรมชาติ “สามพันโบก” ซึ่งเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ ที่ถูกแม่น้ำโขงกัดเซาะ ผ่านกาลเวลานับพันนับหมื่นปี จนกลายเป็นแอ่งและหลุมมากมาย โดยผลงานของแม่น้ำโขงที่กัดเซาะแก่งหินนี้ ในช่วงฤดูน้ำหลากทุกๆปี ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดเป็นแอ่งมากมายมากกว่า 3,000 โบก และฝั่งตรงข้ามที่ห่างไปไม่กี่เมตรก็เป็นฝั่งประเทศลาว นอกจากจะมาเที่ยว สามพันโบกได้เห็นความงามของธรรมชาติแล้ว ยังได้เห็นวิถีชีวิตของการอยู่ร่วมกันระหว่างชาวไทยและชาวลาวริมฝั่งโขงอีกด้วย
ในช่วงหน้าแล้ง สามพันโบก จะโผล่พ้นน้ำให้เห็นเป็นเนินแก่งหินขนาดใหญ่กลางลำน้ำโขง ความสวยงามตระการตาของหินที่ถูกน้ำเซาะมองเห็นเป็นภาพศิลปะ บางแห่งใหญ่ขนาดเป็นสระว่ายน้ำ บางแอ่งขนาดเล็ก มีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น รูปดาว วงรี มิกกี้เม้าส์ และหินที่ถูกน้ำกัดเซาะจนดูคล้ายรูปหัวสุนัขพูเดิล มีความสวยงาม
นับเป็นสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีน ที่ควรแวะมาเที่ยวให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต !
สามพันโบก
ที่ตั้ง : ต.เหล่างาม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/FFr1Zxwfv4zU5vvH9
9.อุทยานแห่งชาติผาแต้ม
สิ่งที่ทำให้คนไทยที่ไม่ใช่เพียงนักท่องเที่ยวรู้จักกับผาแต้ม คือ การที่ผาแต้มเป็นพื้นที่ที่ใช้อ้างอิงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นของประเทศไทย ดังจะได้ยินกรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศในทุกเช้าอยู่เสมอว่าเวลาพระอาทิตย์ขึ้นวัดจากผาชะนะได ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของอุทยานจึงเป็นจุดที่มองเห็นพระอาทิตย์ก่อนใครในสยาม
ในด้านธรรมชาติที่นี่ยังอุดมด้วยป่าเต็งรังและป่าดิบแล้งจำนวนมาก สลับกับลานหินกระจายอยู่ทั่วภูเขา รวมถึงหน้าผาหินที่บริเวณผาแต้มเมื่อมองดูจากแม่น้ำโขงด้านล่างจะเห็นเป็นหน้าผาสูงที่สวยงามตามธรรมชาติ เป็นจุดไฮไลท์ที่ถ่ายภาพออกมายังไงก็สวยแน่นอน
บริเวณด้านล่างของหน้าผามีภาพเขียนของสีก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏเรียงรายอยู่ตามผนังเป็นจำนวนมาก เป็นภาพเขียนสีศิลปะถ้ำโบราณที่มีอายุเก่าแก่ และเป็นแหล่งที่พบมากที่สุดในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ควรค่าแก่การเก็บรักษา
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม
ที่ตั้ง : ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/P71mWEQtWTEeL8ps5
10.วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์
วัดภูมโนรมย์ หรือวัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ นอกจากจะเป็นศาสนสถานเก่าแก่ ยังโดดเด่นด้วยพระเจ้าใหญ่แก้วมุกดาศรีไตรรัตน์ พระพุทธรูปปางมาวิชัยที่สูงถึง 84 เมตร พระธาตุภูมโนรมย์ ทรงแปดเหลี่ยม รวมไปถึง “องค์พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช“ รูปปั้นพญานาคขนาดยักษ์จากฝีมือช่างที่งดงาม กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมืองมุกดาหารไปเป็นที่เรียบร้อย
เนื่องจากทำเลที่ตั้งของวัดซึ่งอยู่บนยอดเขาภูมโนรมย์ จึงทำให้กลายเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดมุกดาหารด้วย โดยสามารถมองเห็นทั้งวิวแม่น้ำโขง ตัวเมืองมุกดาหาร ไกลไปจนถึงแขวงสะหวันนะเขต ฝั่งสปป.ลาว แถมตรงจุดชมวิวนี้ยังมีภาพวาดสามมิติให้ได้ถ่ายรูปเล่นเพลินๆ ด้วย
วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์
ที่ตั้ง : ต.ศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.มุกดาหาร
พิกัด : https://goo.gl/maps/gr8hQAipkjxRsuxy9
11.พระมหาเจดีย์ชัยมงคล
พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตั้งอยู่บริเวณวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่วิจิตรพิสดาร ใช้ศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน เป็นการผสมกันระหว่าง พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม และพระธาตุพนม จ.นครพนม
องค์พระมหาเจดีย์ชัยมงคล รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง 8 ทิศ มีความสวยงามมาก เมื่อมองลงมาจากมุมสูง ภายในองค์พระมหาเจดีย์เหมือนอยู่บนวิมานแดนสวรรค์ โดยภายในพระมหาเจดีย์ชัยมงคล มีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นมีเรื่องราวแตกต่างกันไป
ชั้นที่ 1 เป็นห้องโถงกว้างใหญ่ ผนังจารึกนามทานาธิบดีต่าง ๆ ใช้เป็นห้องประชุม บำเพ็ญบุญ
ชั้นที่ 2 เป็นห้องโถง ผนังติดตั้งรูปพระพุทธประวัติ ลวดลายไทยวิจิตรพิสดาร
ชั้นที่ 3 เป็นที่ประดิษฐานรูปพระณาจารย์ ปราชญ์ อีสานในอดีต เป็นรูปเหมือนสลักหินอ่อนหุ่นรูปเหมือนพระสุปฏิปันโน 101 องค์
ชั้นที่ 4 จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัดวาอาราม สถานปฏิบัติสม ถะวิปัสสนา กรรมฐานที่หลวงปู่ศรี เคยบำเพ็ญธรรมมา
ชั้นที่ 5 บันไดเวียน 119 ชั้น เป็นห้องโถงรูประฆัง 8 เหลี่ยมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
พระมหาเจดีย์ชัยมงคล
ที่ตั้ง : ต.ผาน้ำย้อย อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด
พิกัด : https://goo.gl/maps/rYWr9TComqP3DUej6
12.พระบรมธาตุนาดูน
หากมีโอกาสมาเที่ยวที่ จ.มหาสารคาม สถานที่ที่สำคัญที่ควรแวะมาเที่ยวให้ได้ นั่นก็คือ “พระบรมธาตุนาดูน” เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเรียกขานว่าเป็น “พุทธมณฑลแห่งอีสาน” นับเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา คู่บ้านคู่เมืองของชาวมหาสารคาม
บริเวณที่ตั้งแห่งนี้ มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมาย เป็นโบราณสถานที่มีหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพื้นที่แห่งนี้มาตั้งแต่สมัยก่อน สำหรับองค์พระธาตุ จำลองแบบมาจากสถูปสำริดที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยตัวฐาน สร้างขึ้นใหม่โดยใช้ศิลปะแบบทวารวดี
พระบรมธาตุนาดูน
ที่ตั้ง : ต.พระธาตุ อ.นาดูน จ.มหาสารคาม
พิกัด : https://goo.gl/maps/YSDy88odPpA1BbD37
13.วัดทุ่งเศรษฐี
เป็นวัดที่สร้างอยู่บนความเชื่อว่าเป็นประตูหรือตัวเชื่อมระหว่างสามโลกคือโลกบาดาล โลกมนุษย์ และสวรรค์ โดยมีมหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุครอบอยู่จุดเชื่อมทั้งสามโลกธาตุ
ที่นี่มีสถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัย ศิลปกรรมภายในวัดท แฝงไปด้วยปริศนาธรรม ทั้งในตัววิหารหลัก ซึ่งจะไดพบรูปปั้นท้าวจตุโลกบาลในรูปแบบที่ไม่เคยเจอที่อื่น สวนองค์ปฐมซึ่งแฝงคติธรรมเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารและเมืองนรกแสดงโทษของผู้ที่ผิดศีลห้า
ไฮไลท์ของที่นี่ คือ “มหาเจดีย์รัตนะ” เจดีย์ประธาน ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นตัวแทนของ เจดีย์ “จุฬามณี” เจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามความเชื่อว่าจุดนี้เป็นจุดบรรจบของสามโลก และอยู่ตรงกลางระหว่างจุฬามณีเจดีย์ บรรจุพระเขี้ยวแก้วซี่บนขวา กับเจดีย์ในนาคพิภพบรรจุพระเขี้ยวแก้วซี่ล่างซ้าย หลวงตาได้อธิษฐานอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วซี่ล่างขวามาบรรจุไว้ในพระมหาเจดีย์องค์นี้
วัดทุ่งเศรษฐี
ที่ตั้ง : ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น
พิกัด : https://goo.gl/maps/cCP9XGHFX4AvzLNF9
14.วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก)
ภูทอก หรือ “วัดเจติยาคีรีวิหาร” ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เหมาะแก่การบำเพ็ญธรรมของภิกษุ–สามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป ภูทอก มี 2 ลูก คือภูทอกใหญ่และภูทอกน้อยส่วนที่นักแสวงบุญและ นักท่องเที่ยวทั่วไป สามารถชมได้คือ ภูทอกน้อย สวนภูทอกใหญ่อยู่ห่างออกไป ยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวชม
จุดเด่นของภูทอกก็คือ สะพานไม้และบันได ที่วนรอบภูเขาลูกเล็กๆ ลูกนี้ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพรอบๆ ภูทอก ได้แบบ 360 องศา ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้นแต่ละชั้นจะมีชื่อเรียกต่างกันไป
บอกเลยว่าอันซีนมากๆ เลยครับ ใครมาเที่ยวบึงกาฬ อย่าลืมแวะมาเที่ยวที่นี่ให้ได้
วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก)
ที่ตั้ง : ต.นาแสง อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ
พิกัด : https://goo.gl/maps/8x7F2EvMpNEmstLH6
15.วัดพระธาตุหนองแวง
วัดเก่าแก่ใจกลางเมืองขอนแก่น มี “พระมหาธาตุแก่นนคร” หรือ พระธาตุเก้าชั้น ที่มีฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 50 เมตร เรือนยอดทรงเจดีย์จำลองแบบจากพระธาตุขามแก่น จัดสร้างขึ้น เนื่องในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และ มหามังคลานุสรณ์ 200 ปี เมืองขอนแก่น
ความสูงขององค์พระธาตุฯ 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุมและมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบเป็นศิลปะสมัยทวาราวดีผสมผสานศิลปะอินโดจีน
บอกเลยว่าอลังการงานสร้างมากๆ เลยล่ะ
วัดพระธาตุหนองแวง
ที่ตั้ง : ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น
พิกัด : https://goo.gl/maps/vYx1XXP7x3BBqCzg7
16.วัดพระธาตุหนองบัว
วัดใหญ่สวยงามระดับแลนด์มาร์คของอุบลราชธานี ที่หากว่ามีโอกาสได้มาเที่ยวเมืองอุบลก็ต้องมากราบสักการะพระธาตุหนองบัวเพื่อความเป็นสิริมงคลให้ได้
ที่นี่เป็นสถานที่ประดิษฐานพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ จำลองแบบมาจากเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย สูงถึง 56 เมตร เมื่อเดินเข้าไปในพระเจดีย์จะพบพระเจดีย์องค์เดิมความสูง 17 เมตร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นองค์ดั้งเดิมก่อนมีการสร้างองค์ใหญ่ครอบไว้อีกชั้น
โดยเฉพาะตอนนี้ทางวัดจัดสร้างพญานาคฉัพยาปุตตะ หรือพญานาคสีรุ้งคู่ 2 ตน ความสูงถึง 15 เมตรบริเวณหน้าองค์พระธาตุสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วยิ่งเพิ่มเติมความน่าไปเที่ยวชมมากขึ้นอีก
ใครมาเที่ยวเมืองอุบลห้ามพลาดเลยล่ะ
วัดพระธาตุหนองบัว
ที่ตั้ง : ถ.ธรรมวิถี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/fAhVD5jNTjfBVmr39
17.อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่
ชุมชนเล็กๆ ในอำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งโดดเด่นเพราะเป็นชุมชนชาวคริสต์ นิกายคาทอลิค ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เริ่มต้นจากชาวเวียดนามอพยพมาตั้งถิ่นฐานในสกลนคร ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานถึงปัจจุบันทายาทของพวกเขายังศรัทธาในพระเยซูเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง
อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลท่าแร่ ใช้เป็นที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา แต่เดิมเป็นอาคารไม้ มีหอด้านหน้า 2 หอด้านหลังสุดอีก 1 หอ มีมุขด้านข้าง ๆ ละ 2 มุข จุคนได้ประมาณ 1,000 คน โบสถ์เก่าหลังนี้คาดว่า สร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ.1898 – 1900
ต่อมาได้รื้อวิหารหลังเก่า และสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ โดยสถาปัตยกรรมอาคารหลังใหม่ เป็นรูปทรงเรือใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนย้ายชาวคริสตัง จากฝั่งสกลนคร มายังฝั่งท่าแร่ และเรียกชื่อว่า “อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล” มาจนถึงปัจจุบัน
อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่
ที่ตั้ง : ต.ท่าแร่ อ.เมือง จ.สกลนคร
พิกัด : https://goo.gl/maps/gmBEusj7Yw5FVyim6
18.เชียงคาน
“เชียงคาน” เมืองเล็กๆริมฝั่งแม่น้ำโขงที่เราพูดได้เต็มปากเลยว่าไปกี่คร้ังก็ไม่เบื่อ
ด้วยเสน่ห์ที่ล้นเหลือของเชียงคาน ที่ถึงแม้จะผ่านกาลเวลาไปเนิ่นนานเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่อาจลดเลือนความน่ารักของเมืองนี้ไปได้เลย ถึงแม้ว่าใครจะบอกว่าเปลี่ยนไปเยอะมากจากตอนที่เพิ่งฮิตใหม่ๆ แต่ผมก็ว่า มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ก็ในเมื่อเชียงคานมันสวย มันชิค มันคูลซะขนาดนี้ ใครๆ ก็คงอยากมาสัมผัสให้ได้สักครั้งในชีวิต
ที่เชียงคานนี่มีกิจกรรมให้ทำกันเพียบเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น เดินเล่นชิลล์ๆ ชมวิวแม่น้ำโขง ปั่นจักรยานเลียบโขง ไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดศรีคุณเมือง กินอาหารถิ่นอร่อยๆ ที่ถนนคนเดินริมโขง ตักบาตรข้าวเหนียวยามเช้า ตื่นเช้าไปชมทะเลหมอกภูทอก ชิมมะพร้าวแก้วหวานมัน ล่องเรือชมแม่น้ำโขงที่แก่งคุดคู้ ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะ
เชียงคาน
ที่ตั้ง : ต.เชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย
พิกัด : https://goo.gl/maps/iytn2v1teAAK3u769
19.ลานพญาศรีสัตตนาคราช
พญาศรีสัตตนาราช ประดิษฐาน บนลานศรีสัตตนาคราช ริมฝั่งแม่น้ำโขง จ.นครพนม ถือเป็นเป็นองค์พญานาคทองเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน ซึ่งใช้เวลาในการสร้างนานเกือบ 5 ปี และที่สำคัญองค์พญาศรีสัตตนาคราชองค์นี้ จะไม่มีที่ใดเหมือนเพราะมีสร้อยสังวาล คล้องคอ เหมือนกับลวดลายที่ซุ้มประตูขององค์พระธาตุพนม เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของจังหวัดที่สืบสานต่อเนื่องมายาวนาน
เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของนครพนม ที่ไม่ว่าใครที่ได้มาเที่ยวที่นครพนม จะต้องแวะมาถ่ายรูปเช็คอินอวดเพื่อนๆ ในโลกโซเชียลด้วยทุกครั้ง
ลานพญาศรีสัตตนาคราช
ที่ตั้ง : ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม
พิกัด : https://goo.gl/maps/3r3Ztov3fHfWH3RR7
20.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก
พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก หรือ พิพิธภัณฑ์คางคก แลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่โดดเด่นแปลกตาของจังหวัดยโสธร ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำลำทวน อำเภอเมือง บริเวณสวนสาธารณะพญาแถน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สอดแทรกตำนานเรื่องเล่าพื้นเมืองของชาวอีสาน เกี่ยวกับตำนาน พญาคางคกและประเพณีบุญบั้งไฟอันโด่งดัง ตัวอาคารถูกออกแบบให้เป็นรูปคางคกขนาดยักษ์เป็นอาคารสูง 5 ชั้น หรือประมาณ 19 เมตรเลยทีเดียว
ภายในจัดแสดงนิทรรศการภายในจะบอกเรื่องเกี่ยวกับที่มาของบั้งไฟ โดยจัดฉายเป็นภาพยนตร์ 4 มิติ และนิทรรศการเกี่ยวกับคางคกชนิดต่าง ๆ ที่พบได้ในเมืองไทยที่มีอยู่กว่า 20 ชนิด และมีการรวบรวมของดีทางด้านเกษตรกรรม ของเมืองยโสธรไว้ภายในพิพิธภัณฑ์ รวมถึงเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยของจังหวัดยโสธรอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก
ที่ตั้ง : ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ยโสธร
โทรศัพท์ : 096 897 7970
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน (ปิดวันอังคาร ยกเว้นตรงกับวันหยุดราชการ)
วันธรรมดา ช่วงเช้า เวลา 09.00 -12.00 น. ช่วงบ่าย เวลา 15.00 – 18.00 น
วันหยุดราชการ ช่วงเช้า เวลา 09.00 -12.00 น. ช่วงบ่าย เวลา 13.00 – 19.00 น